คิดว่าสาเหตุ คือ เราเห็นว่าเครื่องมือเหล่านี้ทำให้เราสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างง่ายขึ้น ทำให้เราได้รับข้อมูลอะไรบางอย่างได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เราก็เลยใช้ แต่ปัญหา คือ ใช้แล้วเสพติดจนลืมการพูดคุยกับคนในชีวิตจริงไป สิ่งนี้คือปัญหา สาเหตุก็มาจากความสะดวกสบาย
แนวโน้มจะแย่ลงหรือจะดีขึ้น
แย่ลงแน่ๆ มันจะเป็นสังคมก้มหน้าแบบนี้ต่อไปแล้วมีความเข้มข้นมากขึ้น คนก็จะก้มหนักขึ้นต่อไป
ควรจะแก้อย่างไร
คือมันต้องแก้ที่สาเหตุ ต้นเหตุก็คือ เราสะดวกสบาย ได้รับอะไรที่มันรวดเร็วทันใจ เราพิมพ์ massage (ข้อความขนาดสั้น) นิดนึง ก็ตอบกลับมาแล้ว search (ค้นหา) อะไรนิดนึงก็ตอบกลับมาแล้ว เราอยากฟังเพลงเราก็ฟังในสมาร์ทโฟน เราทำทุกอย่างในสมาร์ทโฟน คือ มันต้องแก้ที่ต้นเหตุที่ว่าเราต้องเห็นความสำคัญของการมีชีวิตที่ไม่ก้มหน้า ต้องเห็นความสำคัญตรงนั้นก่อน เห็นความสำคัญของการพูดคุยกับคน แบบเห็นหน้า มองหน้า หรือเห็นความสำคัญของการเดินไปไหนมาไหนโดยที่หน้าไม่ก้ม ทีนี้ถามว่าเราจะเห็นความสำคัญได้อย่างไร เราต้องเริ่มจากการปล่อยมือถือที่เราเล่นอยู่ลง แล้วลองปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นดูสิ คือเริ่มลดสิ่งเหล่านี้ เราอาจจะเห็นแง่มุมที่เราละเลยมันไป ต้องแก้ที่ตัวเอง ว่าง่ายๆ เถอะ
สิ่งที่ทำให้เกิดสังคมก้มหน้า จะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรต่อเยาวชน
ความสะดวกสบายที่เกิดขึ้น ความรวดเร็ว ถ้าเกิดประโยชน์ก็อาจจะทำให้โลกมันไร้พรมแดน ทำให้เรามีหูตากว้างไกลมากขึ้น แต่โทษของมัน คือ ทำให้เราละเลยการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่มีมัน มำให้เราละเลยการพูดคุยกับคนปกติธรรมดาโดยที่ไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน
ผลเสียจะมากกว่าผลดี เพราะว่าเราใช้มันจนกระทั่งเราไม่รู้ว่ามันมีผลดีอะไร นี่คือสิ่งที่น่ากลัว จนกลายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา จนลืมไปแล้วว่าการที่เราจะมีสิ่งพวกนี้ เราต้องมีเงินที่จะซื้อมัน
สังคมก้มหน้ามีผลกระทบต่อชีวิตหรือไม่
มันทำให้เราไม่สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน กลายเป็นว่าเราห่างเหินกัน อาจจะพูดคุยกันปกติ เป็นเพื่อนกันปกติ แต่บางครั้งมันทำให้เราอยากจะพูดคุยอะไรแบบเห็นหน้าค่าตา กลายเป็นว่าเค้าให้ค่ากับมือถือมากกว่า ทำให้เราห่างเหินกัน
ที่มา :http://tassinee.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น